หน่วยที่ 2 พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยา

0

Presentation Transcript

  • 1.บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด : 142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand โทรศัพท์ : 02 622 2999 โทรสาร : 02 622 1311-8 webmaster@aksorn.com / www.aksorn.com ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ๑_หลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ ๒_แผนการจัดการเรียนรู้ ๓_PowerPoint_ประกอบการสอน ๔_Clip ๕_ใบงาน_เฉลย ๖_ข้อสอบประจำหน่วย_เฉลย ๗_การวัดและประเมินผล ๘_เสริมสาระ ๙_สื่อเสริมการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๔ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๕ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๖
  • 2.พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยา จุดประสงค์การเรียนรู้ วิเคราะห์พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาและธนบุรีในด้านต่างๆ ได้ วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอยุธยาได้ ระบุภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยสมัยอยุธยา และอิทธิพลของภูมิปัญญาดังกล่าวต่อการพัฒนาชาติไทยในยุคต่อมาได้ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒
  • 3.การสถาปนาอาณาจักรอยุธยา ชุมชนไทยในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างก่อนการสถาปนาอาณาจักรอยุธยา แคว้นสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) มีอาณาบริเวณตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยมีลุ่มแม่น้ำท่าจีนไหลลงสู่อ่าวไทย มีพัฒนาการสืบเนื่องมาเป็นเวลาหลายร้อยปี และเคยเป็นที่ตั้งชุมชนโบราณหลายแห่ง เช่น เมืองอู่ทอง มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ และพระพุทธศาสนานิกายมหายาน เช่น พระปรางค์ที่วัดมหาธาตุ
  • 4.ชุมชนไทยในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างก่อนการสถาปนาอาณาจักรอยุธยา (ต่อ) แคว้นละโว้ (ลพบุรี) ได้รับอิทธิพลของทวารวดี มีความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมการนับถือพระพุทธศาสนาที่รุ่งเรืองมากที่สุด มีการรับวัฒนธรรมขอม ซึ่งในภายหลังมีการยอมรับนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และนับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายาน เมื่ออาณาจักรขอมเสื่อมลง ได้ตั้งตัวเป็นอิสระ หลังจากขอมเสื่อมอิทธิพลลง และต่อมาได้ถูกลดความสำคัญลง ทำให้อโยธยาขึ้นมา มีอำนาจแทน
  • 5.การสถาปนาอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรอยุธยาเกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของแคว้นสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) และแคว้นละโว้ (ลพบุรี) ซึ่งทั้งสองแคว้นเป็นศูนย์รวมอำนาจทางการเมืองในบริเวณภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบัน การสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีใน พ.ศ. ๑๘๙๓ ของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) ปรากฏหลักฐานว่ากรุงศรีอยุธยาตั้งขึ้นในเมืองเก่าเดิมที่มีชื่อว่า อโยธยา ซึ่งมีมาก่อน และเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองสุพรรณบุรีกับเมืองลพบุรี
  • 6.ประวัติความเป็นมาของพระเจ้าอู่ทอง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับฟาน ฟลีต หรือวัน วลิต พระเจ้าอู่ทองสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าชัยศิริที่เคยครองเมืองฝาง (ปัจจุบันอยู่ในเขต จ.เชียงใหม่) มีการเชื้อสายสืบราชสมบัติต่อมาหลายรุ่น จึงได้เกิดพระเจ้าอู่ทอง พระเจ้าอู่ทองเป็นราชบุตรเขยของพระเจ้าศิริชัยเชียงแสน ต่อมาได้รับราชสมบัติครองราชย์อยู่ ๖ ปี ได้เกิดโรคห่า (อหิวาตกโรค) จึงทรงย้ายราชธานีมาตั้งที่เมืองศรีอยุธยา พระเจ้าอู่ทองเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินจีน แล้วถูกเนรเทศมาอยู่ที่ปัตตานี และเดินทางผ่านมาทางเมืองละคร(นครศรีธรรมราช) กุยบุรี (ใน จ.ประจวบฯ) และมาสร้างเมืองพริบพรี (เพชรบุรี) ภายหลังจึงได้มาสร้างเมืองอยุธยา ข้อสันนิษฐานจากการบอกที่มาของพระเจ้าอู่ทองแตกต่างกัน
  • 7.๑ ความสัมพันธ์ฉันเครือญาติระหว่างแคว้นสุพรรณภูมิกับแคว้นละโว้ ๒ ทำเลที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาเป็นที่ที่เหมาะสม ๓ กรุงศรีอยุธยาอยู่ใกล้ปากแม่น้ำ ติดทะเล มีความสะดวกในการค้าขายกับชาวต่างชาติ ๔ การเสื่อมอำนาจลงของอาณาจักรเขมร จึงได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางอาณาจักรใหม่ ปัจจัยสำคัญในการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
  • 8.ปัจจัยที่มีผลต่อความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอยุธยา ปัจจัยสำคัญที่เอื้ออำนวยต่อพัฒนาการต่างๆ ของอาณาจักรอยุธยา มีดังนี้ แหล่งอารยธรรมดั้งเดิม สภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ ได้รับอารยธรรมเดิมก่อนมีการตั้งอาณาจักร มาปรับใช้เข้ากับอารยธรรมใหม่ที่อยุธยาสร้างขึ้นมา กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำไหลผ่าน จึงเหมาะแก่การเพาะปลูกและการค้าขาย อาณาจักรอยุธยาตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น มีลมมรสุมพัดผ่าน ทำให้มีฝนตกชุก ส่งผลให้มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ การตั้งอยู่กึ่งกลางเส้นทางเดินเรือระหว่างอินเดียกับจีน ทรัพยากรธรรมชาติ พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ อาณาจักรอยุธยาได้ประโยชน์ จากการค้าขายและรับอารยธรรมจากจีนและอินเดีย อยุธยามีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เช่น ผักผลไม้ ปลาน้ำจืดและปลาทะเล แร่ธาตุ ไม้หายาก ซึ่งเป็นที่ต้องการของพ่อค้าต่างชาติ เพราะพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์หลายพระองค์ ที่ทำให้อยุธยารอดพ้นจากภัยคุกคามจากภายนอกได้
  • 9.พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอยุธยา พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง พัฒนาการทางด้านการเมืองการปกครองของไทยสมัยอยุธยา มีพระมหากษัตริย์ปกครองราชอาณาจักรทั้งหมด ๓๓ พระองค์ใน ๕ ราชวงศ์ รายพระนาม รวมระยะเวลา (ปี) ปีที่ครองราชย์ ราชวงศ์ ๑.สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) ๑๙ พ.ศ.๑๘๙๓ - ๑๙๑๒ อู่ทอง ๒.สมเด็จพระราเมศวร ๑ พ.ศ.๑๙๑๒ - ๑๙๑๓ อู่ทอง ๓.สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพงั่ว) ๑๘ พ.ศ.๑๙๑๓ - ๑๙๓๑ สุพรรณภูมิ ๔.สมเด็จพระเจ้าทองลัน ๗ วัน พ.ศ. ๑๙๓๑ - ๑๙๓๑ สุพรรณภูมิ สมเด็จพระราเมศวร (ครั้งที่ ๒) ๘ พ.ศ. ๑๙๓๑ - ๑๙๓๘ อู่ทอง ๕.สมเด็จพระรามราชาธิราช ๑๕ พ.ศ.๑๙๓๘ - ๑๙๕๒ อู่ทอง
  • 10.รายพระนาม รวมระยะเวลา (ปี) ปีที่ครองราชย์ ราชวงศ์ ๖.สมเด็จพระอินทราชา (เจ้านครอินทร์) ๑๖ พ.ศ. ๑๙๕๒ - ๑๙๖๗ สุพรรณภูมิ ๗.สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ๒๔ พ.ศ. ๑๙๖๗ - ๑๙๙๑ สุพรรณภูมิ ๘.สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ๔๐ พ.ศ. ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑ สุพรรณภูมิ ๙.สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ ๓ พ.ศ.๒๐๓๑ - ๒๐๓๔ สุพรรณภูมิ ๑๐.สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ๓๘ พ.ศ.๒๐๓๔ - ๒๐๗๒ สุพรรณภูมิ ๑๑.สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ (หน่อพุทธางกูร) ๔ พ.ศ.๒๐๗๒ - ๒๐๗๖ สุพรรณภูมิ ๑๒.พระรัษฎาธิราช ๕ เดือน พ.ศ.๒๐๗๖ - ๒๐๗๗ สุพรรณภูมิ ๑๓.สมเด็จพระชัยราชาธิราช ๑๒ พ.ศ.๒๐๗๗ - ๒๐๘๙ สุพรรณภูมิ ๑๔.พระยอดฟ้า (พระแก้วฟ้า) ๒ พ.ศ. ๒๐๘๙ - ๒๐๙๑ สุพรรณภูมิ ขุนวรวงศาธิราช - - -
  • 11.รายพระนาม รวมระยะเวลา (ปี) ปีที่ครองราชย์ ราชวงศ์ ๑๕.สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ๒๐ พ.ศ. ๒๐๙๑ - ๒๑๑๑ สุพรรณภูมิ ๑๖.สมเด็จพระมหินทราธิราช ๑ พ.ศ. ๒๑๑๑ - ๒๑๑๒ สุพรรณภูมิ ๑๗.สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ๒๑ พ.ศ.๒๑๑๒ - ๒๑๓๓ สุโขทัย ๑๘.สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ๑๕ พ.ศ.๒๑๓๓ - ๒๑๔๘ สุโขทัย ๑๙.สมเด็จพระเอกาทศรถ ๕ พ.ศ.๒๑๔๘ - ๒๑๕๓ สุโขทัย ๒๐.พระศรีเสาวภาคย์ ๑ ปีเศษ พ.ศ.๒๑๕๓ - ๒๑๕๔ สุโขทัย ๒๑.สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ๑๘ พ.ศ.๒๑๕๔ - ๒๑๗๑ สุโขทัย ๒๒.สมเด็จพระเชษฐาธิราช ๘ เดือน พ.ศ.๒๑๗๑ - ๒๑๗๒ สุโขทัย ๒๓.พระอาทิตยวงศ์ ๓๘ วัน พ.ศ.๒๑๗๒ - ๒๑๗๒ สุโขทัย ๒๔.สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ๒๕ พ.ศ.๒๑๗๒ - ๒๑๙๙ ปราสาททอง
  • 12.รายพระนาม รวมระยะเวลา (ปี) ปีที่ครองราชย์ ราชวงศ์ ๒๕.สมเด็จเจ้าฟ้าชัย ๓-๕ วัน พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๑๙๙ ปราสาททอง ๒๖.สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา ๒ เดือน พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๑๙๙ ปราสาททอง ๒๗.สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ๓๒ พ.ศ.๒๑๙๙ - ๒๒๓๑ ปราสาททอง ๒๘.สมเด็จพระเพทราชา ๑๔ พ.ศ.๒๒๓๑ - ๒๒๔๖ บ้านพลูหลวง ๒๙.สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) ๖ พ.ศ.๒๒๔๖ - ๒๒๕๑ บ้านพลูหลวง ๓๐.สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ ๙ (พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) ๒๓ พ.ศ.๒๒๕๑ - ๒๒๗๕ บ้านพลูหลวง ๓๑.สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ (พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) ๒๖ พ.ศ.๒๒๗๕ - ๒๓๐๑ บ้านพลูหลวง ๓๒.สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) ๒ เดือน พ.ศ.๒๓๐๑ - ๒๓๐๑ บ้านพลูหลวง ๓๓.สมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) ๙ พ.ศ.๒๓๐๑ - ๒๓๑๐ บ้านพลูหลวง
  • 13.๑ พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดในการปกครอง ทรงเป็นพระประมุขของอาณาจักร ๒ ทรงเป็นสมมติเทพตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และเป็นธรรมราชาตามคติความเชื่อในพระพุทธศาสนาด้วย ลักษณะการเมืองการปกครองสมัยอยุธยา
  • 14.รูปแบบการปกครองสมัยอยุธยาตอนต้น การบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลาง กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และเป็นศูนย์กลางของการการปกครอง มีเมืองหน้าด่าน ๔ ทิศ เพื่อป้องกันภัยยามข้าศึกรุกราน อยุธยา ลพบุรี นครนายก สุพรรณบุรี พระประแดง น
  • 15.จตุสดมภ์ การบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลาง ในเขตราชธานีที่กรุงศรีอยุธยา มีเสนาบดี ๔ ตำแหน่ง เรียกว่า จตุสดมภ์ จตุสดมภ์รับผิดชอบดูแลการบริหารราชการแผ่นดินตามพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ จตุสดมภ์ แบ่งออกเป็น ๔ หน่วยงาน ดังนี้ กรมเวียง (เมือง) กรมคลัง กรมวัง กรมนา
  • 16.การบริหารราชการแผ่นดินส่วนหัวเมือง หัวเมืองชั้นใน อยู่ไม่ไกลจากราชธานี ทางราชธานีจะแต่งตั้ง “ผู้รั้ง” ไปปกครอง เช่น เมืองราชบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท ราชธานี หัวเมืองชั้นนอก (เมืองพระยามหานคร) อยู่ห่างไกลจากราชธานี มีเจ้าเมืองที่สืบทอดทางสายเลือดเป็นผู้ปกครอง หัวเมืองประเทศราช มีการปกครองเป็นอิสระแก่ตนเอง ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระมหากษัตริย์อยุธยา เมืองนครศรีธรรมราช เมืองสุโขทัย หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก หัวเมืองประเทศราช
  • 17.รูปแบบการปกครอง สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ การบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลาง พระมหากษัตริย์ สมุหพระกลาโหม สมุหนายก ดูแลกิจการฝ่ายทหารทั่วราชอาณาจักร ดูแลฝ่ายพลเรือนทั่วราชอาณาจักร รวมทั้งดูแลจตุสดมภ์
  • 18.การบริหารราชการแผ่นดินส่วนหัวเมือง หัวเมืองชั้นใน ยกเลิกเมืองลูกหลวงทั้ง ๔ ทิศ ขยายขอบเขตโดยให้เมืองลูกหลวงเข้ากับเมืองในวงราชธานี เป็นเมืองชั้นจัตวา มีผู้รั้งกับกรมการเมืองปกครอง ราชธานี หัวเมืองชั้นนอก (เมืองพระยามหานคร) มีการจัดเมืองเป็นชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี มีขุนนางชั้นสูงเป็นผู้สำเร็จราชการเมือง หัวเมืองประเทศราช ลักษณะการปกครองยังคงเป็นแบบเดียวกับสมัยอยุธยาตอนต้น เช่น เมืองทวาย ตะนาวศรี เชียงกราน เขมร หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก หัวเมืองประเทศราช
  • 19.รูปแบบการปกครองสมัยอยุธยาตอนปลาย พระมหากษัตริย์ สมุหพระกลาโหม สมุหนายก หัวเมืองฝ่ายใต้ (ทหาร - พลเรือน) หัวเมืองฝ่ายเหนือ (ทหาร - พลเรือน) กรมนครบาล กรมวัง กรมคลัง กรมนา การคลัง กรมสังกัดฝ่ายทหาร หัวเมืองชายทะเลตะวันออก (ทหาร - พลเรือน)
  • 20.พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยที่ส่งเสริมความเจริญทางเศรษฐกิจในสมัยอยุธยา ๑ ทำเลและที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาและหัวเมืองต่างๆ ใกล้เคียง ซึ่งเหมาะแก่การเพาะปลูกโดยเฉพาะการปลูกข้าว ๒ การอยู่ใกล้อ่าวไทย ทำให้พ่อค้าต่างชาติติดต่อค้าขายกับอยุธยาได้สะดวก ๓ พระบรมราโชบายของพระมหากษัตริย์ ที่ช่วยดึงดูดให้พ่อค้าชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายกับอยุธยา
  • 21.ลักษณะทางเศรษฐกิจในสมัยอยุธยา เกษตรกรรม การค้าขาย กับต่างประเทศ ผลิตผลทางการเกษตรที่สำคัญ คือ ข้าว นอกจากนี้ยังมีผลิตผลจากป่า เช่น ไม้ฝาง นอแรด งาช้าง ครั่ง หนังสัตว์ ยางสน ไม้กฤษณา เป็นต้น เป็นการค้าขายโดยการใช้เรือสำเภา ซึ่งดำเนินการโดยพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ ขุนนาง และพ่อค้าจีน นอกจากนี้ยังติดต่อค้าขายกับชาวตะวันตกอีกด้วย ได้แก่ โปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส
  • 22.การแสวงหารายได้ของแผ่นดินด้วยการเก็บภาษีอากร ๑ จังกอบ ๒ อากร ๓ ส่วย ๔ ฤชา รายได้ที่เก็บตามด่านขนอนทั้งทางบกและทางน้ำ โดยเก็บชักส่วนสินค้า รายได้ที่เกิดจากการเก็บส่วนผลประโยชน์ในการประกอบอาชีพต่างๆ ของราษฎร เช่น การทำนา ทำไร่ ทำสวน เป็นต้น รายได้จากสิ่งของ ที่ราษฎรนำมาให้กับทางราชการแทนการถูกเกณฑ์แรงงาน เช่น ส่วยดีบุก รายได้ที่ได้จากค่าธรรมเนียมที่ทางราชการเก็บจากราษฎร
  • 23.พัฒนาการด้านสังคม ความเป็นมาของสังคมศักดินาสมัยอยุธยา ความหมายของศักดินา ประโยชน์ของศักดินา ศักดินา หมายถึง เครื่องกำหนดสิทธิและหน้าที่ของบุคคลในสังคม เพื่อจำแนกให้เห็นถึงความแตกต่างในเรื่องสิทธิและหน้าที่ของบุคคลตามศักดินา เช่น ผู้มีศักดินา ๔๐๐ ขึ้นไปมีสิทธิเข้าเฝ้าได้ แต่ต่ำกว่า ๔๐๐ ไม่มีสิทธิเข้าเฝ้า กฎหมายศักดินา บังคับใช้เมื่อ พ.ศ. ๑๙๙๗ โดยกำหนดให้บุคคลทุกประเภทในสังคมไทย มีศักดินาด้วยกันทั้งสิ้นแตกต่างกันไปตามฐานะอำนาจและหน้าที่ความรับผิดชอบ ยกเว้นพระมหากษัตริย์ซึ่งมิได้ระบุศักดินาเพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้าของศักดินาทั้งปวง ระบบศักดินามีประโยชน์ในการควบคุมบังคับบัญชาผู้คนตามลำดับชั้นและมอบหมายให้คนมีหน้าที่รับผิดชอบตามที่กำหนดเอาไว้ และเมื่อบุคคลทำผิดต่อกันก็สามารถใช้เป็นหลักในการปรับไหมได้ เช่น ถ้าผู้มีศักดินาสูงทำความผิดต่อผู้มีศักดินาต่ำกว่า ก็จะปรับไหมตามศักดินาของผู้มีศักดินาสูงกว่าถ้าผู้มีศักดินาต่ำกว่าทำผิดต่อผู้มีศักดินาสูงกว่าก็ปรับไหมผู้ที่ทำผิดตามศักดินาของผู้ที่มีศักดินาสูงกว่า
  • 24.ลักษณะโครงสร้างสังคมไทยสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ พระประมุขของราชอาณาจักร ทรงได้รับการยกย่องให้เป็นสมมติเทพ และทรงเป็นธรรมราชา พระบรมวงศานุวงศ์ เครือญาติของพระมหากษัตริย์ มีศักดินาแตกต่างกันไปตามฐานะ ขุนนาง บุคคลที่รับราชการแผ่นดิน มีทั้งศักดินา ยศ ราชทินนาม และตำแหน่ง ทาส บุคคลที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในแรงงาน และชีวิตของตนเอง ต้องตกเป็นของนายจนกว่าจะได้ไถ่ตัว ไพร่ ราษฎรที่ถูกเกณฑ์แรงงานให้กับทางราชการ ต้องสังกัดมูลนาย พระภิกษุสงฆ์ ทำหน้าที่ในการสืบทอดพระพุทธศาสนา ได้รับการยกย่อง และศรัทธาจากบุคคลทุกชนชั้น
  • 25.มีทั้งการใช้นโยบายการสร้างไมตรี การเผชิญหน้าทางทหาร และนโยบายการสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติ อยุธยาใช้การเผชิญหน้าทางทหารกับสุโขทัยมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) และสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพงั่ว) สมัยสมเด็จพระอินทราชา (เจ้านครอินทร์) ทรงแก้ไขปัญหาจลาจลที่สุโขทัย ทำให้สุโขทัยกลับมาอยู่ใต้อำนาจของอยุธยา และทรงสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติโดยให้พระราชโอรส คือ เจ้าสามพระยาอภิเษกกับเจ้าหญิงเชื้อสายราชวงศ์พระร่วง สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงผนวกรวมสุโขทัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยา ความสัมพันธ์กับสุโขทัย พัฒนาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ....กับรัฐที่อยู่ใกล้เคียง
  • 26.เป็นการเผชิญหน้าทางทหาร ในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพงั่ว) เป็นต้นมา อยุธยาได้รบกับล้านนา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ สมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช อยุธยาได้ยึดล้านนาเป็นเมืองประเทศราช แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นเมืองประเทศราชของพม่า สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อยุธยาได้ล้านนากลับมาเป็นเมืองประเทศราช หลังจากสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นต้นไป ล้านนาก็เริ่มแยกตัวเป็นอิสระบ้าง เป็นประเทศราชของพม่าบ้าง ของอยุธยาบ้าง ความสัมพันธ์กับล้านนา ส่วนใหญ่เป็นการเผชิญหน้าทางทหาร โดยเริ่มต้นในสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช อยุธยาได้ช่วยเมืองเชียงกรานของมอญที่ขึ้นกับอยุธยารบกับพม่า สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำสงครามยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่า หลังสมัยนี้ไปอยุธยาว่างเว้นสงครามกับพม่าจนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๒๓๑๐ ความสัมพันธ์กับพม่า
  • 27.มีทั้งการค้า การผูกสัมพันธไมตรี และการเมือง เมื่ออยุธยามีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า ผู้นำอยุธยาได้ขยายอำนาจเข้าครอบครองเมืองท่าของมอญแถบชายฝั่งทะเลอันดามันเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า นอกจากนี้ อยุธยายังให้ที่พึ่งพิงแก่ชาวมอญที่อพยพหนีภัยสงครามจากพม่าด้วยเพื่ออาศัยมอญเป็นด่านหน้าปะทะกับพม่าก่อนจะยกทัพมาถึงอยุธยา ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมอญ ลักษณะความสัมพันธ์มีทั้งการค้า การเผชิญหน้าทางทหาร และการผูกสัมพันธไมตรี สมัยอยุธยาตอนต้น อยุธยาส่งกองทัพไปรบกับมะละกาซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญบริเวณคาบสมุทรมลายู นอกจากได้มะละกาเป็นเมืองขึ้นแล้ว ยังได้หัวเมืองรายทางด้วย เช่น ปัตตานี ไทรบุรี ซึ่งอยุธยาควบคุมหัวเมืองมลายูผ่านทางเมืองนครศรีธรรมราช นอกจากจะได้ผลประโยชน์ทางเครื่องราชบรรณาการแล้วยังได้ผลประโยชน์ทางการค้าขายอีกด้วย ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมลายู
  • 28.ส่วนใหญ่เป็นการผูกสัมพันธไมตรี สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) ไทยมีความสัมพันธ์อันดีกับพระเจ้าฟ้างุ้มแห่งล้านช้าง สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ไทยกับล้านช้างมีความสนิทแนบแน่นมากขึ้น เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้างแต่งตั้งทูตมากราบทูลขอพระเทพกษัตรีไปเป็นพระอัครมเหสี แต่ถูกพระเจ้าบุเรงนองส่งทหารมาชิงตัวไปเสียก่อน จนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ ทำให้ความสัมพันธ์ลดน้อยลงไป ความสัมพันธ์กับล้านช้าง ความสัมพันธ์ส่วนใหญ่เกิดในสมัยอยุธยาตอนปลายโดยลักษณะความสัมพันธ์จะเป็นการเผชิญหน้าทางทหาร เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่เหนือเขมร สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ เกิดเหตุการณ์แตกแยกภายในราชวงศ์เขมรระหว่างพระธรรมราชากับนักแก้วฟ้าจอกจนถึงขั้นทำสงครามกัน อยุธยาและญวนต่างสนับสนุนแต่ละฝ่าย ความขัดแย้งภายในทำให้ไทยกับญวนต้องทำสงครามกัน ในที่สุดอยุธยาชนะและได้เขมรมาอยู่ใต้อำนาจ ไม่นานญวนก็เข้าไปมีอิทธิพลเหนือเขมรอีก อยุธยาจึงต้องยกทัพไปตีเขมรกลับมา ความสัมพันธ์กับญวน
  • 29.มีทั้งการเผชิญหน้าทางทหาร การเมือง และวัฒนธรรม สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) โปรดให้พระราเมศวรและขุนหลวงพงั่วยกทัพไปตีเขมร ทำให้อยุธยาได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรด้วย สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพงั่ว) ยกทัพไปตีเขมร สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ยึดราชธานีเขมรที่นครธมและทรงแต่งตั้งพระนครอินทร์ พระราชโอรสไปปกครองเขมร ต่อมาถูกเขมรลอบปลงพระชนม์ สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เขมรได้ถือโอกาสที่ไทยติดพันสงครามกับพม่า ยกทัพมาตีไทย สมัยสมเด็จพระนเรศมหาราชทรงยกทัพไปตีเมืองละแวก ราชธานีเขมรขณะนั้นได้ และหลังจากสมัยนี้ เขมรเริ่มตั้งตัวเป็นอิสระ และในตอนปลายสมัยอยุธยา เขมรได้อ่อนน้อมต่ออยุธยาบ้าง ญวนบ้าง จนกระทั่งเสียกรุงใน พ.ศ. ๒๓๑๐ เขมรจึงเป็นอิสระ ความสัมพันธ์กับเขมร
  • 30.เป็นแบบรัฐบรรณาการ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองและการค้า ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ที่ทรงขึ้นครองราชย์มักจะแต่งตั้งคณะทูตนำเครื่องราชบรรณาการไปยังจีน เพื่อให้จีนรับรองเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าและเพื่อความชอบธรรมในการเสด็จขึ้นครองราชย์ ในช่วงที่อยุธยามีปัญหาการเมืองภายในหรือทำสงครามกับภายนอก ความสัมพันธ์จะหยุดชะงักชั่วคราว เมื่อเหตุการณ์สงบ การติดต่อก็เริ่มต้นขึ้นอีก ความสัมพันธ์กับจีน พัฒนาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ....กับดินแดนอื่นๆ ในทวีปเอเชีย
  • 31.ส่วนใหญ่เป็นการค้าและการเมือง สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ อยุธยามีการติดต่อกับญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้มีการปราบปรามชาวญี่ปุ่นบางคนที่คิดก่อการร้าย ทำให้ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากพากันอพยพออกจากอยุธยา แม้ว่าต่อมาอยุธยาจะส่งทูตไปเจรจาสัมพันธไมตรีกับญี่ปุ่นอีก แต่ญี่ปุ่นไม่ยอมรับ อาจเป็นเพราะเหตุการณ์ที่ทรงปราบปรามญี่ปุ่น และญี่ปุ่นดำเนินนโยบายปิดประเทศ ความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น
  • 32.ความสัมพันธ์จะเป็นด้านการค้า โดยสันนิษฐานว่าอยุธยาเริ่มมีความสัมพันธ์กับเปอร์เซีย (ปัจจุบันคืออิหร่าน) ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พ่อค้าเปอร์เซียชื่อ เฉกอะหมัด ได้รับราชการจนมีความดีความชอบได้เป็นเจ้ากรมท่าขวา สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เปอร์เซียส่งทูตมาเข้าเฝ้า แต่หลังจากนี้ไปแล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานถึงการเดินทางเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างอยุธยาและเปอร์เซียอีก ความสัมพันธ์กับเปอร์เซีย
  • 33.มีทั้งการค้า การเมือง และวัฒนธรรม เริ่มต้นในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ เมื่อโปรตุเกสยึดมะละกา แต่มะละกาเป็นประเทศราชของอยุธยา โปรตุเกสจึงส่งทูตมาเจรจาและทำสนธิสัญญาระหว่างกัน นอกจากนี้ อยุธยายังซื้อปืนจากโปรตุเกสและจ้างทหารโปรตุเกสมาเป็นทหารอาสา รวมถึงรับวัฒนธรรมการทำขนมหวานจากโปรตุเกส อันเป็นที่มาของขนมหวานไทยในปัจจุบันด้วย เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เป็นต้น ความสัมพันธ์กับโปรตุเกส พัฒนาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ....กับชาติตะวันตก
  • 34.ทั้งการค้าและการเมือง สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฮอลันดาส่งคณะทูตมาเจรจาและขอตั้งสถานีการค้าที่ปัตตานี สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม อยุธยากับฮอลันดา ได้ทำสนธิสัญญาการค้าระหว่างกัน สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ฮอลันดาส่งเรือรบปิดท่าเรือตะนาวศรี อยุธยาจึงตัดสิทธิพิเศษทางการค้า สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้เกิดความขัดแย้งกับฮอลันดา จนต้องดึงฝรั่งเศสเข้ามาถ่วงดุลอำนาจ ทำให้ฮอลันดาค่อยๆ ลดปริมาณการค้าและถอนตัวออกจากอยุธยาในที่สุด ความสัมพันธ์กับฮอลันดา
  • 35.มีทั้งการค้าและการเมือง สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงอนุญาตให้อังกฤษเข้ามาตั้งสถานีการค้าที่กรุงศรีอยุธยาได้ แต่ถูกฮอลันดาขัดขวางจนต้องปิดกิจการ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้เริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์อีกครั้งเพื่อดึงอังกฤษมาถ่วงดุลอำนาจกับฮอลันดา แต่อังกฤษไม่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันกับฮอลันดา จนเมื่อเรือค้าขายของอังกฤษถูกปล้นสะดมในน่านน้ำเมืองมะริดจนต้อง สู้รบกับอยุธยาที่เมืองมะริด ทำให้ความสัมพันธ์ห่างเหินกันไป ความสัมพันธ์กับอังกฤษ
  • 36.ความสัมพันธ์มีทั้งเรื่องของศาสนา การค้าและการเมือง สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงต้องการให้ฝรั่งเศสมาถ่วงดุลอำนาจกับฮอลันดา จนกระทั่งฝรั่งเศสเข้ามาตั้งสถานีการค้า และภายหลังส่งคณะทูตเดินทางมาอยุธยาเป็นครั้งแรกเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี และอยุธยาก็ส่งคณะทูตไปฝรั่งเศส ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างดี ภายหลังฝรั่งเศสเข้ามามีอิทธิพลทางการเมืองและการทหาร จนต้องมีการขับไล่ฝรั่งเศสออกไป ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส
  • 37.ค่อนข้างมีน้อยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการค้า สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ข้าหลวงใหญ่ของสเปนที่เมืองมะนิลาได้ส่งทูตมาเชื่อมสัมพันธไมตรีและเจรจาทางการค้ากับอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีเรือสินค้าสเปนเดินทางจากเมืองมะนิลาเข้ามาค้าขายที่กรุงศรีอยุธยา แต่ปริมาณการค้าไม่มากนัก สมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ผู้สำเร็จราชการสเปนที่เมืองมะนิลาส่งทูตเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและขออนุญาตตั้งสถานีการค้าขึ้นใหม่ แม้การเจรจาจะประสบความสำเร็จ แต่ปริมาณการค้าก็มิได้ขยายตัวและได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าในที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติก็ห่างเหินกันไป ความสัมพันธ์กับสเปน
  • 38.การเสื่อมอำนาจของอาณาจักรอยุธยา การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ และการกู้เอกราช สาเหตุของการเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๑๑๒ การกู้เอกราชของกรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ. ๒๑๒๗ เกิดขึ้นเพราะความแตกสามัคคีภายในกรุงศรีอยุธยา พระยาจักรีเป็นไส้ศึก เกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เมื่อสมเด็จ-พระนเรศวรซึ่งเป็นพระราชโอรสทรงประกาศอิสรภาพ จากพม่าที่เมืองแครง ใน พ.ศ. ๒๑๒๗ สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพจากพม่า โดยทรงหลั่งทักษิโณทกให้ตกเหนือแผ่นดิน (ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)
  • 39.การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ และการกู้เอกราช สาเหตุของการเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ การกู้เอกราชของกรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ การขาดประสบการณ์ในการทำสงครามขนาดใหญ่ของฝ่ายอยุธยา การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การรบของพม่า ด้วยการยกมาตีอยุธยาทั้งทางเหนือและทางใต้ โดยกวาดต้อนผู้คน เสบียงอาหาร เข้าล้อมเมืองทั้งฤดูแล้งและฤดูน้ำหลาก พระยาตาก (สิน) ได้นำไพร่พลฝ่าวงล้อมพม่า ไปตั้งมั่นที่เมืองจันทบุรี ได้นำไพร่พลตีหัวเมืองรายทางไล่มาจนถึงเมืองธนบุรีที่พม่าคุมอยู่ และตามตีไปถึงค่ายโพธิ์สามต้น ซึ่งเป็นทัพพม่าที่รักษาอยุธยาอยู่จนแตก
  • 40.ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยสมัยอยุธยา ความหมายของภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ภูมิปัญญา ความรู้ ความสามารถที่ได้จากประสบการณ์ที่สั่งสมไว้ในการปรับตัวและการดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมที่ได้มีการพัฒนาสืบสานกันมา วัฒนธรรม ระบบความเชื่อ ระบบคุณค่า และวิถีชีวิตทั้งหมด ดังนั้น ภูมิปัญญาทั้งหลายจึงได้รับการสั่งสมอยู่ในวัฒนธรรมนั่นเอง
  • 41.ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยสมัยอยุธยา ลักษณะทางภูมิศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม ลักษณะทางสังคม และวัฒนธรรม การรับอิทธิพลจากภายนอก มีสภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะต่อการเพาะปลูกและค้าขายจึงส่งเสริมให้มีการคิดค้นภูมิปัญญาสำหรับการประกอบอาชีพ เป็นสังคมศักดินามีการนับถือพระพุทธศาสนา และใช้กุศโลบายทางศาสนาเป็นเครื่องมือในการอบรมสั่งสอนผู้คน การติดต่อค้าขายกับต่างชาติ ทำให้เกิดการเรียนรู้จากชาติต่างๆ แล้วนำมาปรับใช้ให้เข้ากับคนไทย
  • 42.ตัวอย่างการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยสมัยอยุธยา ๑ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยในการสร้างรูปแบบการปกครองให้เหมาะสมกับคนไทย สังคมไทยในสมัยอยุธยามีความเชื่อว่าการปกครองบ้านเมืองต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองบ้านเมืองนับตั้งแต่การสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเป็นต้นมา อันเป็นผลมาจากการรับเอาคติความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ จัดให้พระมหากษัตริย์ทรงมีที่ประทับสูงกว่าคนอื่นๆ ให้สมกับที่พระองค์ทรงเป็นสมมติเทพ ที่ประทับขององค์พระมหากษัตริย์จะไม่ตั้งอยู่ปะปนกับบุคคลทั่วไป มีการสร้างพระราชวังสำหรับพระมหากษัตริย์ และภายในพระราชวังจะต้องมีกฎเกณฑ์และพิธีกรรมต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นสมมติเทพ โดยมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพระราชพิธีถวาย มีการใช้ราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ให้แตกต่างไปจากบุคคลทั่วไป การวางระเบียบแบบแผน สำหรับบุคคลทั่วไปในการปฏิบัติตนต่อองค์พระมหากษัตริย์เป็นการเฉพาะ หรือที่เรียกว่า กฎมณเทียรบาล ถ้าผู้ใดละเมิดก็จะมีโทษทางอาญา เป็นต้น ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับความสำคัญของพระมหากษัตริย์ มีหลายประการ
  • 43.๒ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยในการวางระบบการควบคุมกำลังคน ระบบการควบคุมกำลังคนสมัยอยุธยากำหนดให้ไพร่ต้องสังกัดมูลนาย โดยมูลนายจะต้องดูแลและให้ความคุ้มครองไพร่ในแต่ละกรมกอง ส่วนไพร่ก็ต้องให้ความเคารพยำเกรงมูลนายของตน การควบคุมแรงงานไพร่ในแต่ละกรมจะมีการควบคุมเป็นลำดับชั้น แต่ละกรมจะจัดทำบัญชีรายชื่อและที่อยู่ของไพร่ที่สังกัดกรมของตนนอกจากนี้ยังมีพระสุรัสวดี ทำหน้าที่เป็นผู้ถือบัญชีไพร่ของทุกกรมและขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ ระบบการควบคุมกำลังคนในสมัยอยุธยาทำให้กลุ่มคนไทยสามารถอยู่รวมกันได้เป็นกลุ่มก้อน ไม่กระจัดกระจาย กันออกไป และสะดวกต่อการเกณฑ์ไพร่พลไปทำสงคราม
  • 44.๓ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยในการสร้างที่อยู่อาศัย เรือนสามารถแบ่งออกตามลักษณะของผู้อยู่อาศัยได้ ๒ ลักษณะ เป็นเรือนชั้นเดียว ใต้ถุนสูง สร้างด้วยวัสดุที่แข็งแรงทนทาน เช่น ไม้สัก ไม้เนื้อแข็ง ตัวเรือนสามารถรื้อถอนแล้วนำไปประกอบใหม่ได้เหมือนเดิม เป็นเรือนชั้นเดียว ใต้ถุนเตี้ย สร้างด้วยวัสดุไม่คงทนถาวร เช่น ไม้ไผ่ มักปลูกเป็นการชั่วคราว ถ้าไพร่มีฐานะสูงก็สามารถใช้เรือนแบบขุนนางได้ เรือนขุนนาง (เรือนเครื่องสับ) เรือนขุนนาง (เรือนเครื่องสับ) เรือนไพร่ (เรือนเครื่องผูก)
  • 45.๔ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยในการบำบัดรักษาคนไข้ การแพทย์แผนไทยสมัยอยุธยามีพื้นฐานมาจากความเชื่อ ความรู้ ความคิด และการยอมรับร่วมกันของคนในสังคม จนสามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน ระบบการแพทย์สมัยอยุธยามีการจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบเป็นสัดส่วน มีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการบำบัด รักษาคนไข้แตกต่างกัน เช่น โรงพระโอสถ เป็นหน่วยงานดูแลยาสมุนไพร จำแนกหมวดหมู่ยา ควบคุมมาตรฐานและผลิตยา ตำราแพทย์หลวง
  • 46.๕ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยในการปลูกฝังศีลธรรมให้กับสังคม มีการใช้วรรณกรรมของพระพุทธศาสนามาสอนคนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ เช่น หนังสือพระมาลัยคำหลวง ซึ่งนิพนธ์โดยเจ้าฟ้าธรรมธิเบศ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ปัจจุบันยังมีประเพณีสวดพระมาลัยหน้าศพที่ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดหรือที่บ้าน หรือพระภิกษุสงฆ์อาจนำสาระดีๆ ในหนังสือพระมาลัยคำหลวงไปเทศน์สั่งสอนผู้คน
  • 47.๖ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยด้านศิลปกรรม ด้านศิลปกรรม ส่วนใหญ่เป็นสิ่งก่อสร้างในพระพุทธศาสนา เช่น เจดีย์ พระปรางค์ โบสถ์ วิหาร มณฑป รวมถึงสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ เช่น พระราชวัง พระที่นั่งต่างๆ ศิลปกรรมอยุธยาเกิดจากการผสมผสานระหว่างศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนไทย และศิลปวัฒนธรรมที่รับมาจากภายนอก โดยเฉพาะอินเดียและจีน รวมทั้งทางตะวันตก วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดสำคัญในเขตพระราชวังหลวงเทียบได้กับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่สำหรับประกอบพิธีสำคัญต่างๆ จึงเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา
  • 48.ด้านประติมากรรม ส่วนใหญ่นิยมสร้างพระพุทธรูป พระพุทธรูปยุคแรกๆ เป็นแบบอู่ทอง เช่น พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่วัดพนัญเชิง จนถึงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ศิลปะแบบสุโขทัยได้แพร่หลายเข้ามา ครั้นถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเป็นต้นมา พระพุทธรูปมักทำเป็นแบบทรงเครื่อง มีเครื่องประดับสวยงาม เช่น พระประธานวัดหน้าพระเมรุ ที่พระนครศรีอยุธยา พระพุทธรูปทรงเครื่อง ประดิษฐานภายในอุโบสถวัดหน้าพระเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
  • 49.ด้านจิตรกรรม ส่วนใหญ่จะเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา เป็นภาพเขียนสี นิยมเขียนเป็นพุทธบูชาตามผนังโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ในคูหาภายในองค์พระปรางค์ สถูป เจดีย์ และในสมุดไทย เช่น ภาพเขียนบนผนังในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ เป็นต้น ภาพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ จากวิกิพีเดีย
  • 50.ด้านประณีตศิลป์ มีทั้งประเภทเครื่องใช้ เครื่องประดับตกแต่ง เครื่องเงิน เครื่องทอง เครื่องไม้จำหลัก ซึ่งล้วนมีฝีมือสวยงามและประณีต เช่น เครื่องทองในพระปรางค์วัดราชบูรณะ เป็นต้น ภาพจากสารานุกรมไทย
  • 51.๗ ภูมิปัญญาในการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายทางสังคม กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองท่าสำคัญ ซึ่งเป็นที่รวมของหลายเชื้อชาติต่างๆ ๑ ชุมชนชาวจีน ๒ ชุมชนชาวญี่ปุ่น ๓ ชุมชนชาวโปรตุเกส ๔ ชุมชนชาวฝรั่งเศส ๕ ชุมชนชาวแขก