สรุปหลักและทฤษฎีการบริหาร

0

Presentation Transcript

  • 1.หลักการและหลักการและทฤษฏีการบริหารการศึกษาPrinciple and Theory of Educational Administration โดย นางสาวสุพัตรา แซ่ซิ้น รหัสนักศึกษา 6419050053
  • 2.การบริหาร ประกอบด้วย
  • 3.คุณลักษณะของผู้บริหาร
  • 4.ทักษะการคิดของผู้บริหาร ทักษะการคิดของผู้บริหาร เป็นทักษะสำคัญที่สุดที่ทำให้ได้รับความสำเร็จ เพราะการคิดทำให้เกิดผลในทุกขั้นตอนของการทำงานขององค์กร ดังนั้นผู้บริหารจะต้องคิดดี กว้างไกล มีวิสัยทัศน์ คิดอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ (สงวน อินทร์รักษ์, 2559)
  • 5.ความรู้ของผู้บริหาร
  • 6.คุณสมบัติของการเป็นผู้บริหาร
  • 7.น้ำคำมหาเสน่ห์
  • 8.การปรับบุคลิก รากอ่อนน้อม รู้จักมองจากด้านล่าง กิ่งเมตตา มีคุณธรรม ก้านกรุณา มีจริยธรรม ดอกอภัย ให้อภัยคนเป็น 4 ใบยอ 1.ยิ้ม 2.ยกยอ 3.เย็น 4.ยอม
  • 9.ผู้บริหารที่ดี สิ่งที่ต้องละเว้น เรื่องทุจริต ไม่คดโกง ไม่คอรัปชั่น 2. เรื่องเพศ ไม่ผิดจรรยาบรรณทางเพศ “เมาเพศ หมาดราคา เมาสุรา หมดอนาคต เมาการพนัน หมดตัว เมาเพื่อนชั่ว หมดดี”
  • 10. Management By Walking (MBW) การบริหารจัดการด้วยการเดิน คือ การเดินเข้าไปหา เข้าไปพบปะครู หรือผู้ใต้บังคับบัญชา การทำ MBW ทำให้เราดูคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
  • 11.
  • 12.
  • 13.
  • 14.
  • 15.
  • 16.คุณลักษณะของผู้บริหาร
  • 17.ลักษณะของผู้บริหาร
  • 18.การบริหาร บริหาร หมายถึง การแบ่งงานกันทำโดยทั่วถึง มีผู้บริหารคอยติดตาม ดูแล เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงด้วยดี
  • 19.การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์ (science) เป็นองค์ความรู้ที่เกิดจากวิธีทางวิทยาศาสตร์ เป็นสาขาวิชาที่มีการจัดการระเบียบอย่างเป็นระบบ กล่าวคือมีหลักเกณฑ์และทฤษฎีที่พึงเชื่อถือได้ อันเกิดจากการค้นคว้าเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อประโยชน์ในการบริหาร เป็นศาสตร์สังคม ซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกับวิชาจิตวิทยา สังคมวิทยา และรัฐศาสตร์ โดยลักษณะนี้ การบริหารจึงเป็นศาสตร์ (Science) ศิลป์ (art) เป็นการพัฒนาทักษะ ประยุกต์ ยืดหยุ่น เพื่อจุดหมาย โดยอาศัยความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และทักษะของผู้บริหารแต่ละคน ที่จะ ทำงานให้บรรลุเป้าหมาย โดยประยุกต์เอาความรู้ หลักการและทฤษฎีทางการบริหารไปรับใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม การบริหารเป็นศิลป์ (Arts) การบริหารจะต้องใช้ศาสตร์หรือศิลป์ต้องดูจากสถานการณ์ อาจได้ใช้ทั้งเสือ สิงห์ กระทิง แรด นกฮูก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าจะต้องเป็นแบบไหน
  • 20.โครงสร้างการบริหาร ความแตกต่างทางแนวดิ่ง คือ ระดับต่างกัน เงินเดือนต่างกัน หน้าที่ต่างกัน ความแตกต่างทางแนวนอน คือ ความสามารถใกล้เคียงกัน เงินเดือนใกล้เคียงกัน
  • 21.ลักษณะการบริหาร tall การบริหารในแนวดิ่ง ข้อดี คือ มีการกลั่นกรองหลายขั้นตอน รอบคอบ ข้อเสีย คือ ช้า ถ้าเป็นเรื่องสำคัญการบริหารแบบนี้ใช้ได้ดี การบริหารในแนวราบ ข้อดี คือ รวดเร็ว ข้อเสีย คือ ไม่ผ่านการกลั่นกรอง ไม่รอบคอบ ถ้าต้องการความรวดเร็วบริหารแบบนี้ใช้ได้ดี flat
  • 22.
  • 23.ทฤษฎีทางการบริหาร
  • 24.ทฤษฎีแห่งบทบาท สมาชิกในสังคมต่างมีตำแหน่ง มีบทบาท ต่างก็ต้องแสดงบทบาทของตน 3 อย่าง การใช้แต่ละบทบาทนั้นจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ บทบาทที่พอดี บทบาทที่ขาดไป บทบาทที่ล้นเกิน
  • 25.ทฤษฎีบูรณาการทางสัมคมของ Osborne & Gaebler เอกัตบุคคลได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิกในกลุ่มด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง การจัดกลุ่มตามเลขที่ กลุ่มเรียน กลุ่มเพื่อนกิน การเข้าเป็นสมาชิกใหม่ในกลุ่ม หากโดดเด่นมากไปจะเป็นภัยแก่ตนเอง จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย David Osborne Ted Gaebler
  • 26.ทฤษฎีอีริก ฟรอมม์ มีสัมพันธภาพ มีการสร้างสรรค์ มีสังกัด มีเอกลักษณ์แห่งตน มีหลักยึดเหนี่ยว
  • 27.ทฤษฎีของมาสโลว์ Abraham H. Maslow เป็นบุคลลแรกที่ได้ตั้งทฤษฎีทั่วไปเกี่ยวกับการจูงใจได้แบะตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ไว้ 3 ประการ
  • 28.ลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ของ Maslow (Maslow’s Need-hierarchy Theory)
  • 29.ทฤษฎีการจูงใจ-สุขอนามัยของเฮอร์เบอร์ก (Herzberk’s Motivation Hygiene Theory)
  • 30.ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของแมคเกรเกอร์
  • 31.ทฤษฎี Z ของ Ouchi (Ouchi’s Theory Z) ทฤษฎี Z รวมเอาหลักการของทฤษฎี X, และทฤษฎี Y เข้าด้วยกัน แนวความคิดก็คือ องค์การต้องมีหลักเกณฑ์ที่ควบคุมมนุษย์ แต่มนุษย์ก็รักความเป็นอิสระและมีความต้องการ หน้าที่ของผู้บริหารจึงต้องปรับเป้าหมายขององค์การให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบุคคลในองค์การ ทฤษฎีมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการ คือ การทำให้ปรัชญาที่กำหนดไว้บรรลุ การพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การให้ความไว้วางใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา การให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ทฤษฎีนี้ใช้หลักการ 3 ประการ คือ 1. คนในองค์การต้องซื่อสัตย์ต่อกัน 2. คนในองค์การต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 3. คนในองค์การต้องมีความใกล้ชิดเป็นกันเอง x Y Z
  • 32.ทฤษฎีวุฒิภาวะของคริส อากีริส มนุษย์มีวุฒิภาวะมนุษย์มีวุฒิภาวะ และบางส่วนไม่มีวุฒิภาวะ วุฒิ = สติปัญญา ฉลาด โง่ (ปริญญาวิชาการ) ภาวะ = พฤติกรรม ขยัน ขี้เกียจ (ปริญญาโลก)
  • 33.ขยัน ขี้เกียจ ฉลาด โง่
  • 34.กลุ่มนี้มีความตั้งใจสูงและมีความสามารถในการทำงานสูงด้วย วิธีจัดการ คือให้คำปรึกษากับคนกลุ่มนี้งานจะออกมาได้ดี กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่มีความสามารถ แต่มีความตั้งใจในการทำงาน วิธีจัดการ คือให้เข้ารับการฝึกอบรม กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่มีความสามารถ ไม่มีความตั้งใจในการทำงาน วิธีจัดการ คือต้องมีกฎ ระเบียบบังคับ กลุ่มนี้มีความสามารถมาก แต่ความตั้งใจไม่มาก วิธีจัดการ ต้องมีคนดูแล ช่วยสอนให้
  • 35.ตนเองรู้ ผู้อื่นรู้ หมายถึงสิ่งที่เปิดเผย เป็นสิ่งที่เผยแพร่ และเป็นที่ยอมรับของทุกคน เช่น เพศ เพศชาย เพศหญิง ตนเองรู้ผู้อื่นก็รู้ การเรียนปริญญาโท หรือการแต่งงานที่เป็นพฤติกรรมรับรู้โดยทั่วกัน ตนเองไม่รู้ ผู้อื่นรู้ หมายถึง ข้อบกพร่องหรือจุดบอดของแต่ละคน เช่นการพูดติดอ่างพูดซ้ำไปซ้ำมาจุดบอดถูกแก้เมื่อเรารู้ปรับ และแก้ไขได้หรือทราบแล้วเปลี่ยนจุดบอดจะกลายเป็นเปิดเผยทันทีคนเราต้องยอมรับจุดบอดของตัวเองและผู้อื่นด้วยเพราะเป็นธรรมชาติของคน ตนเองรู้ ผู้อื่นไม่รู้ หมายถึง ความลับหรือซ่อนเร้นบางอย่างไม่ควรเปิดเผยและไม่ทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าเปิดเผยแล้วเกิดความสมดุลหรือเที่ยงธรรมก็ควรเปิดเผย ตนเองไม่รู้ ผู้อื่นไม่รู้ หมายถึง ก้นบึ้งที่ล้ำลึก เป็นการที่ไม่รู้อะไรเลย เช่น โรคร้ายในร่างกายของเราต้องไปตรวจก่อนถึงจะทราบ
  • 36.พฤติกรรมที่ดีเกิดจากปัจจัย 8 ประการหรือ 8 กลุ่ม คือ ส่วนที่หนึ่ง ได้แก่ ดอกและผลไม้บนต้น ที่แสดงถึงพฤติกรรมการทำดีละเว้นชั่วและพฤติกรรมการทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อส่วนรวม ซึ่งล้วนแต่เป็นพฤติกรรมของพลเมืองดี พฤติกรรมที่เอื้อเฟื้อต่อการพัฒนาประเทศ ส่วนที่สอง ได้แก่ ส่วนลำต้นของต้นไม้ แสดงถึงพฤติกรรมการทำงานอาชีพอย่าง ขยันขันแข็ง ซึ่งประกอบด้วยจิตลักษณะ 5 ด้าน คือ 1) เหตุผลเชิงจริยธรรม 2) มุ่งอนาคตและการควบคุมตนเอง 3) ความเชื่ออำนาจในตน 4) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ 5) ทัศนคติ คุณธรรมและค่านิยม ส่วนที่สาม ได้แก่ รากของต้นไม้ ที่แสดงถึงพฤติกรรมการทำงานอาชีพอย่างขยันขันแข็งซึ่งประกอบด้วยจิตลักษณะ 3 ด้าน คือ 1) สติปัญญา 2) ประสบการณ์ทางสังคม 3) สุขภาพจิต
  • 37. วิลเลียม เชลดอน (William Sheldon) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้กล่าวว่าลักษณะทางกายสามารถบ่งบอกถึงลักษณะทางจิตใจบางประการของมนุษย์ได้ โดยแบ่งประเภทบุคลิกภาพของบุคคลตามลักษณะโครงสร้างของร่างกายได้ 3 ประเภท ดังนี้ รูปร่างผอมบาง (Ectomorph) ได้แก่ บุคคลที่มีบุคลิกภาพในลักษณะผอม สูง ช่วงไหล่ห่อ เอวสะโพกเล็ก มีกล้ามเนื้อน้อย อ่อนไหวง่าย ใจน้อย กลัวความเจ็บปวด และไม่ชอบเข้าสังคม รูปร่างอ้วนเตี้ย (Endomorph) ได้แก่ บุคคลที่มีลักษณะอ้วนเตี้ย เป็นคนชอบสังคม สนุกสนานร่าเริง ช่างพูดคุย ใจเย็น อารมณ์ดี เสียงดังและต้องการให้คนเอาใจ รูปร่างสมส่วน (Mesomorph) ได้แก่ บุคคลที่มีรูปร่างสมส่วน ลำตัวตรง ไหล่กว้าง กล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูกแข็งแรงเป็นบุคคลที่กล้าหาญ กล้าผจญภัยและกล้าเสี่ยงมีความเข็มแข็ง คล่องแคล่วว่องไว และส่วนใหญ่ชอบเล่นกีฬา ทฤษฎีบุคลิกภาพ
  • 38.ทฤษฎีเรือลอยน้ำ น้ำ หมายถึง ผู้ใต้บังคับบัญชา เรือ หมายถึง ผู้บริหาร ผู้บริหาร ต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้ใต้บังคับบัญชา จึงอาจดำรงตำแหน่งอยู่ได้ เหมือนดั่งเรือที่ลอยได้เนื่องจากน้ำคอยรองรับหากน้ำไม่ปรารถนาเรือ ก็สามารถล่มเรือให้จมลงได้ เหมือนดั่งวันใดที่ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิเสธไม่ยอมรับตัวผู้บริหาร ก็อาจร่วมแรงร่วมใจคว่ำผู้บริหารคนนั้นลงจากตำแหน่ง
  • 39.ทฤษฎีวัวสองตัว ทักษะสำคัญของผู้บริหาร คือการมอบหมายงานให้กับคน ถ้ามอบหมายให้คนกลุ่มเดียวกันทำ ไม่มีใครมายุ่งกับเราเลยก็จะทำงานแบบไม่กระตือรือร้น แต่ถ้ามอบหมายให้ทำงานแบบนี้คู่แข่ง คนกลุ่มนั้นก็จะกระตือรือร้นทำงานได้รวดเร็ว เพื่อหวังเป็นผู้ชนะ เพราะว่ามนุษย์ถ้าไม่มีคู่แข่งจะทำไปเรื่อยๆ ถ้ามีคู่แข่งเราจะต้องเร่งมือทำให้งานมากขึ้น และให้ดีกว่าเดิม
  • 40.วิวัฒนาการของการบริหารมี 3 ยุค
  • 41.1.ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management Era) Luthur Gulick and Lyndall Urwick เป็นนักบริหารงานแบบวิทยาศาสตร์ บริหารงานโดยหวังผลงานเป็นใหญ่ (Task Centered) เขาได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกระบวนการบริหาร สรุปย่อได้ว่า POSDCoRB ดังนี้
  • 42.1.ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management Era) ทฤษฎีการจัดการตามระบบราชการ (Bureaucratic management) ลำดับชั้นการบังคับบัญชา การแบ่งงานชัดเจน ไม่ยึดความเป็นส่วนบุคคล ยึดกฎระเบียบข้อบังคับ การทำงานเป็นอาชีพ แบ่งแยกเรื่องส่วนตัวและทรัพย์สินของบุคคลออกจากองค์กร Max Weber (1864-1920)
  • 43.1.ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management Era) ทฤษฎีการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ (Scientific management) 1. ทำการศึกษางานแต่ละส่วนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และพัฒนาวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานแต่ละอย่าง 2. ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือกและการ ฝึกอบรมพนักงาน และมอบหมายความรับผิดชอบให้ ทำงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน 3. มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหาร และพนักงาน 4. แบ่งงานและความรับผิดชอบในงานเป็นส่วนต่างๆ เทเลอร์ได้พัฒนาวิธีการถ่ายค่าจ้างต่อหน่วยแบบสอง ระดับ(Different rate system) ขึ้นมา Frederick W. Taylor (1856-1915)
  • 44.1.ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management Era) แนวคิดที่สำคัญคือ 1.การจูงใจคนงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยใช้ระบบโบนัส (Bonus System) 2.การพัฒนา Gantt Chart เพื่อใช้ในการกำหนดแผนและการควบคุมการปฏิบัติงาน Henry L. Gantt
  • 45.1.ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management Era) Henri Fayol ทฤษฎีการจัดการตามแบบหลักการบริหาร (Administrative management) มุ่งเน้นที่กิจกรรมการจัดการ (Managerial activities) ซึ่ง ประกอบด้วยกิจกรรม 5 อย่างคือ 1.การวางแผน(Planning) 2.การจัดองค์การ(Organizing) 3.การบังคับบัญชา หรือการสั่งการ (Commanding) 4.การประสานงาน (Coordinating) 5.การควบคุม (Controlling)
  • 46.1.ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management Era) Henri Fayol หลักการจัดการ (Management Principles)  ( Fayol) ได้กำหนดหลักทั่วไปที่ใช้ในการจัดการซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ที่เรียกว่า หลัก 14 ประการ  ได้แก่ ประการที่ 1  หลักอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ(Authority and Responsibility) ประการที่ 2 หลักของการมีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว(Unity of Command) ประการที่ 3 หลักของการไปในทิศทางเดียวกัน (Unity of Direct ion )  ประการที่ 4 หลักสายการบังคับบัญชา (Scalar Chain) ประการที่ 5 หลักของการแบ่งงานกันทำ (Division of Work or Specialization) ประการที่ 6 หลักความมีระเบียบวินัย(Discipline) ประการที่ 7 หลักประโยชน์ของส่วนบุคคลเป็นรองจากประโยชน์ของส่วนรวม (Subordination of the Individual Interest to General Interest )
  • 47.1.ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management Era) Henri Fayol ประการที่ 8 หลักของการให้ผลตอบแทน(Remuneration) ประการที่ 9 หลักของการรวมอำนาจ ( Centralization) ประการที่ 10 หลักความเป็นระเบียบเรียบร้อย (Order)  ประการที่  11 หลักความเสมอภาค (Equity) ประการที่ 12 หลักความมั่นคงในการทำงาน (Stability of Tenure) ประการที่ 13 หลักความริเริ่ม(Imitative) ประการที่ 14 หลักความสามัคคี (Esprit de Corps)
  • 48.2.ยุคบริหารแบบมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation Era) เอลตัน เมโย (Elton Mayo) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด การศึกษาดังกล่าวนี้เริ่มต้นด้วยการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environment) กับ ประสิทธิภาพในการทำงาน (Productivity) สภาพแวดล้อมทางกายภาพในลักษณะที่ทำงานถูกกำหนดขึ้นโดยปัจจัยต่อไปนี้ - ความเข้มของแสงสว่าง - ระดับของอุณหภูมิ - และเงื่อนไขทางกายภาพในการทำงานอื่น ๆ ( มีอุปกรณ์ที่เหมาะสม )
  • 49.2.ยุคบริหารแบบมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation Era) เอลตัน เมโย (Elton Mayo) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สรุปผลการศึกษา Hawthorne 1. ปัจจัยด้านปทัสถานทางสังคม เป็นตัวกำหนดปริมาณผลผลิตไม่ใช้ปัจจัยด้านกายภาพ 2. ความคิดที่ว่าคนเห็นแก่ตัว ต้องการเงินค่าตอบแทนมากๆเป็นการมองแคบๆ 3. พฤติกรรมของคนงานถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม 4. การบังคับบัญชาจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด ถ้าฝ่ายบริหารปรึกษากลุ่มและหัวหน้าของกลุ่มที่ไม่เป็นทางการนี้ 5. การบริหารแบบประชาธิปไตย พนักงานทำงานได้ผลงานดีมาก ถ้าเขาได้จัดการงานที่เขารับผิดชอบเอง
  • 50.เครื่องมือในการบริหารจัดการ
  • 51.Balanced Scorecard BSC เป็นเสมือนเครื่องมือหรือกลไกในการวางแผนและบริหารกลยุทธ์ที่มีการกำหนดมุมมองทั้ง 4 ด้าน เพื่อให้เกิดความสมดุลในการพัฒนาองค์กร จนบรรลุแผนกลยุทธ์ที่ได้วางไว้ในที่สุด
  • 52.ตัวชี้วัดทั้ง 4 ด้าน
  • 53.ขอบเขตหรือองค์ประกอบในการวัดผลตามแนวคิดของ Balanced Scorecard
  • 54.กระบวนการจัดทำ Balanced Scorecard 1.SWOT คือ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์กรว่าเป็นอย่างไรดูจุดแข็งจุดอ่อนโอกาสและอุปสรรค 2.Vision คือมุมมองในอนาคตเราจะไปทิศทางไหนเพื่อให้เราได้สิ่งที่เราต้องการและเป็นสิ่งที่เราทำได้ 3.BSC ใช้เป็นตัวทำให้งานกระจายไปทุกฝ่ายได้อย่างเหมาะสม 4.Indicator เป็นตัวกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจน 5.Implement ขั้นตอนการดำเนินงานลงมือปฏิบัติใช้แผนโครงการดำเนินงานให้สำเร็จ
  • 55.ประโยชน์และความสำคัญของBalanced Scorecard ช่วยทำให้วิสัยทัศน์ ภารกิจ และกลยุทธ์ ของององค์การมีความชัดเจน และสามารถแปรไปสู่แนวทางดำเนินการต่างๆที่ชัดเจนเป็นที่เข้าใจร่วมกันได้ ทำให้เกิดการสื่อสารวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ และเชื่อมโยงกับมาตรการที่จะใช้วัดผลได้ชัดเจน ทำให้เกิดการวางแผนและการกำหนด เป้าหมาย และสร้างสรรค์กิจกรรมเชิงกล ยุทธ์ในรูปแบบต่างๆ ทำให้เกิดการย้อนกลับและการเรียนรู้ให้ ผู้บริหาร นอกจากเพื่อให้ทราบว่าได้มีการปฏิบัติตามแผนกลยุทธ์ที่ได้วางไว้หรือไม่
  • 56.ประโยชน์และความสำคัญของBalanced Scorecard สำหรับผู้บริหาร: เพื่อเรียนรู้มุมมองสำคัญที่ส่งผลต่อการอยู่รอดขององค์กร กำกับ สนับสนุนโครงการ แผนงานระยะสั้น และระยะยาว ให้สอดคล้อง และบรรลุวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ขององค์กร อีกทั้งเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานและถ่ายทอด สื่อสารถึงผู้ปฏิบัติงาน สำหรับผู้ปฏิบัติ: เพื่อปฏิบัติงานได้ตรงเป้าหมาย และวิสัยทัศน์ขององค์กรอย่างแท้จริง สำหรับทุกคนในองค์กร: เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งองค์กร ความอยู่รอดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง และสร้างผลงานที่สนับสนุนองค์กรไปสู่จุดหมาย
  • 57.Benchmarking Benchmarking เป็นกระบวนการของการเปรียบเทียบระหว่างผลผลิต บริการ และวิธีการปฏิบัติอย่างเป็นระบบขององค์กรของตนกับองค์กรคู่แข่งที่เหนือกว่า หรืออยู่ในระดับแนวหน้า เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่ดีเลิศ
  • 58.
  • 59.รูปแบบของ Benchmarking 1. Competitive Benchmarking เป็นการเปรียบเทียบกับองค์การที่เป็นคู่แข่งขันกันโดยตรงโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบกับองค์การเป็นประเภทเดียวกัน หรือกระบวนการในการทำงานที่แข่งขันกันโดยตรง 2. Functional Benchmarking การเปรียบเทียบในลักษณะนี้องค์การที่ต้องทำมาตรฐานเปรียบเทียบจะติดต่อกับองค์การเป้าหมาย ที่เป็นที่หนึ่งในแต่ละอุตสาหกรรม และขอความร่วมมือในการแบ่งปันความรู้กับทีมงานของตนที่เข้าไปทำมาตรฐานเปรียบเทียบองค์การเป้าหมายมักจะไม่ใช่องค์กรที่เป็นคู่แข่งขันกันโดยตรง จึงมักจะไม่เกิดปัญหาในเรื่องความลับ เพื่อมาสร้างกระบวนการ หรือวิธีการให้มีผลงานได้เท่าเทียมกัน 3. Internal Benchmarking เป็นการเปรียบเทียบกับหน่วยงานต่างๆภายในองค์การวิธีการนี้เป็นที่นิยมขององค์การขนาดใหญ่เพื่อกระจายข้อมูลหรือความรู้เหล่านั้นไปยังกลุ่ม หรือหน่วยงานอื่นๆ ภายในองค์การ และยังเป็นวิธีที่ประหยัดและง่ายที่สุด 4. Generic Benchmarking เป็นการเปรียบเทียบทั่วไปแม้จะต่างกิจกรรม หรือองค์การต่างประเภท
  • 60.ขั้นตอนของ Benchmarking
  • 61.จรรยาบรรณของ Benchmarking หลักการด้านกฎหมาย ปฏิบัติตนในกรอบกฎหมาย หลักการด้านการเปลี่ยนแปลงข้อมูล ร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นจริง หลักการด้านความลับ รักษาความลับของข้อมูลที่ได้รับ หลักการด้านการใช้ข้อมูล ใช้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ 5.หลักการด้านการติดต่อ ติดต่อกับองค์กรคู่เปรียบเทียบผ่านบุคคลที่กำหนด ไม่เปิดเผยชื่อของผู้ที่เราติดต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต 6. หลักการด้านการเตรียมตัว เตรียมตัวให้พร้อมในการแลกเปลี่ยนข้อมูล 7. หลักการด้านการทำให้สำเร็จ ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำกับคู่เปรียบเทียบให้เสร็จ 8. หลักการด้านความเข้าใจและการปฏิบัติ เข้าใจถึงสิ่งที่คู่เปรียบเทียบต้องการให้เราปฏิบัติต่อเขา ปฏิบัติต่อคู่เปรียบเทียบคามที่เขาต้องการ
  • 62.ประโยชน์ของ Benchmarking 1. การกำหนดช่องว่างระหว่างผลการปฏิบัติงาน ขององค์การกับองค์การอื่น และต้องการเปลี่ยนแปลงในเชิงสร้างสรรค์ 2. การรวบรวมวิธีการปฏิบัติงานที่เป็นเลิศเข้าสู่องค์การ 3. การนำไปสู่วิธีการปฏิบัติงานในรูปแบบใหม่ ที่ สามารถส่งเสริมให้องค์การมีผลปฏิบัติการที่ดีขึ้นและมีอัตราความเสี่ยงลดลงจาการลองผิดลองถูก 4. ส่งเสริมการปฏิบัติงานภายในองค์การให้ดีขึ้น 5. นำไปสู่การวางแผนเชิงกลยุทธ์ร่วมกัน และการสร้างความร่วมมือที่จะพยายามให้องค์การมีการพัฒนาที่ดีขึ้น 6. องค์การสามารถสร้างจุดแข็ง เช่นเดียวกับ ข้อด้อยขององค์การที่ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น 7. การสร้างความร่วมมือทั้งในระดับบุคคลและ การะหน้าที่ของหนักงานภายในองค์การที่ ต้องการจะปรับปรุงแก้ไขให้องค์การพัฒนาไปสู่ระดับสากล
  • 63.
  • 64.CEO คืออะไร CEO ย่อมาจาก : “Chief Executive Officer” CEO แปลว่า : “ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร” CEO คือ : ผู้บริหารระดับที่สูงที่สุดในองค์กร ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องทำหน้าที่ในการตัดสินใจในตัวเลือกต่าง ๆ ที่ดีที่สุดจากนโยบายที่ทางด้านผู้จัดการเสนอมา ซึ่งอำนาจตัดสินใจของประธานเป็นอำนาจที่เด็ดขาดที่สุด
  • 65.CEO ในอุดมคติ ซีอีโอ ที่ดีจะต้องนึกถึงลูกทีมในบริษัทเป็นหลักจะต้องสร้างความสมดุลระหว่างความสุขของพนักงาน ความสำเร็จของงาน CEO ควรมีหัวใจที่ทำงานด้วยความเมตตาแต่จริงจังกับการทำงาน CEO ต้องพร้อมเรียนรู้จากปัญหาที่เผชิญและเติบโตไปพร้อมกับทุกคนในทีม
  • 66.หน้าที่ของ CEO
  • 67.
  • 68.ปัจจัยส่งเสริม CEO ปัจจัยส่งเสริมภายนอก คือการให้อำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ ตามตัวบทกฎหมาย ตามนโยบายที่ชัดเจน ตามกฎ ระเบียบกำสั่ง ข้อบังกับต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการ EMPOWER ให้แก่CEO ปัจจัยส่งเสริมภายใน ความรู้และปัญญา (KNOWLEDGE AND WISDOM) ความสามารถ (COMPETENCY) คุณธรรม (MORALITY) ความเป็นผู้นำ (LEADERSHIP)
  • 69.ศักยภาพ CEO
  • 70.ขั้นตอนการทำงานของ CEO การพัฒนาจะต้องมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทางที่สำคัญ 5 ประการคือ - BASIC NEEDS ได้แก่ ความจำเป็นพื้นฐาน - SOCIAL JUSTICE ได้แก่ ความเป็นธรรมในสังคม - SELF-RELIANCE คือการพึ่งพาตนเอง - PEOPLE'S PARTICIPATION คือการให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วม - QUALITY OF LIPE ถือคุณภาทชีวิดเป็นเรื่องสุขภาพ อนามัย การศึกษา
  • 71.ขั้นตอนการทำงานของ CEO
  • 72.TQM (Total Quality Management) การจัดระบบและวินัยในการทำงาน เพื่อป้องกันความผิดพลาดเสียหายและมุ่งสร้างคุณค่าในกระบวนการทำงาน ทุกงาน ทุกขั้นตอน และมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา โดยทุกระดับในองค์กรจะต้องมีส่วนร่วม
  • 73.
  • 74.วัตถุประสงค์ / ประโยชน์ ของ Total QualityManagement (TQM) เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า พัฒนาและปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องในทุกด้าน เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพสม่ำเสมอ เพื่อสามารถแข่งขันในภาวะที่การแข่งขันรุนแรง เพื่อลดต้นทุน เนื่องจากของเสียลดลง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพนักงาน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
  • 75.หลักสำคัญของ TQM
  • 76.Management by Facts Data Collection Figures Statistics Information เครื่องมือเบื้องต้นแห่งคุณภาพ Brainstorming ความคิดทุกคนมีคุณค่า คิดอย่างอิสระ เป็นกันเอง เสริมต่อความคิด Why - Why Diagrams ทำไมถึงขาดทุน ทำไมถึงขายไม่ได้ ทำไมถึงคุณภาพไม่ดี ทำไมออกแบบไม่ดี ทำไมไม่มีข้อมูลลูกค้า How-How Diagrams จะเพิ่มจำนวนเด็กได้อย่างไร จะปรับปรุงคุณภาพการสอนได้อย่างไร จะปรับวิธีการสอนได้อย่างไร จะพัฒนาบุคลากรได้อย่างไร Brainstorming By Answer Garden
  • 77.ECRS คืออะไร ECRS คือ แนวคิดในการลดความสูญเปล่าในการดำเนินงาน หรือที่เราเรียกว่า Waste นั้นเองซึ่งถือเป็นต้นทุนที่ไม่สร้างผลตอบแทนหรือประโยชน์ใด ๆ ECRS ประกอบไปด้วย 🔸 E = Eliminate คือ การลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็นออก 🔸 C = Combine คือ การรวมขั้นตอนการทำงานเข้าด้วยกัน เพื่อประหยัดเวลาหรือแรงงานในการทำงาน 🔸 R = Rearrange คือ การจัดลำดับงานใหม่ให้เหมาะสม 🔸 S = Simplify คือ ปรับปรุงวิธีการทำงาน หรือสร้างอุปกรณ์ช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้น
  • 78.รายงานตรวจสอบเพื่อการปรับปรุงของ ออสบอร์น Osborne's Check List S (Substitute): ทดแทนได้หรือไม่? C (Combine): ผสม/รวมได้หรือไม่? A (Adapt): ดัดแปลงใช้อย่างอื่นได้ไหม? M (Modify): ปรับเปลี่ยนได้หรือไม่? M (Magnify): เพิ่ม/ขยายได้หรือไม่? P (Put to other uses): เอาไปใช้อย่างอื่นได้หรือไม่? E (Eliminate or Minify): ลด/หดได้หรือไม่? R (Rearrange): จัดใหม่ได้หรือไม่? R (Reverse): สลับได้หรือไม่?
  • 79.การทำงานเป็นทีม TEAMWORK การทำงานเป็นทีมนั้นหมายถึงการทำงานร่วมกันของสมาชิกหรือพนักงานในองค์กรมากกว่า 1 คนขึ้นไป โดยหัวใจสำคัญก็คือทุกคนนั้นจะต้องมีเป้าหมายเดียวกัน และเต็มใจร่วมกันปฎิบัติภาระกิจต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายจนไปสู่ความสำเร็จ แต่การที่ทุกคนจะรวมตัวกันเพื่อทำงานเป็นระบบทีมที่มีประสิทธิภาพนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียทีเดียว เพราะการทำงานระบบนี้มีปัจจัยสำคัญมากมายที่ต้องใส่ใจและจริงจัง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปหากทุกคนมีใจที่จะทำความสำเร็จร่วมกัน
  • 80.องค์ประกอบของทีมงาน (Team Work Structure)
  • 81.คุณลักษณะสำคัญของทีมงานและการทำงานระบบทีม คุณลักษณะสำคัญของทีมงานและการทำงานระบบทีม 1.การปฎิสัมพันธ์กันของคนในทีม 2.มีเป้าหมายที่จะบรรลุร่วมกัน 3.มีโครงสร้างและระบบการทำงานที่ชัดเจน 4.มีความรู้สึกร่วมกันและมีทัศนคติในทิศทางเดียวกัน 5.เปิดเผย ตรงไปตรงมา จริงใจต่อกัน และไว้เนื้อเชื่อใจ
  • 82.ประโยชน์ของการพัฒนาทีมงานให้มีประสิทธิภาพ 1.สร้างกำลังใจในการทำงานให้กับสมาชิกตลอดจนองค์กร 2.สร้างความมั่นคงในอาชีพ 3.สร้างระบบการทำงานที่ดี 4.สร้างความสัมพันธ์ที่ดีของการทำงานและสมาชิกในทีม 5.ทำให้องค์กรและบุคลากรเกิดการพัฒนาตลอดเวลา
  • 83.